วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

26F : งานประสิทธิภาพเหนือคู่แข่ง

ศาสตราจารย์ จรูญ สุภาพ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการทำงาน 26F ประสิทธิภาพได้อย่างน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อ เป็นข้อคิดที่มีประโยชน์ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ที่ต้องปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอเพื่อให้ทันวงการที่แข่งขันสูง โดยเฉพาะการทำงานจะใช้แบบเดิมไม่ได้ ทุกคนต้องทำวันนี้ให้ดีกว่าวันวาน องค์กรยุคใหม่ต้องการคนมีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ เพราะทุกอย่างต้องดีกว่าเดิม

Friendly = เป็นมิตร

ทำงานที่ใดก็ตามหากมีมิตรกับคนรอบตัวมีแต่ได้มากกว่าเสีย ไม่ว่าจะมีตำแหน่งอะไร นาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน เพราะนี่คือบันไดของการทำความคุ้นเคย รู้จัก และเปิดใจให้กัน แล้วยังทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดและช่วยสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีในการทำงาน

Feeling = สร้างความรู้สึกที่ดี
ความรู้ลึกที่ดีๆ เกิดจากความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งช่วยให้เกิดความผูกพันและชอบพอรักใคร่ เป็นความเอื้ออาทรต่อกัน เช่น เขางานมากก็ช่วยทำ เขามีทุกข์เราก็ปลอบ เขาทำผิดพลาดก็ให้กำลังใจ เพราะคนเราอาจมีความรู้สึกสะเทือนใจจากสิ่งที่คิดว่าทำดีหรือขึ้นโดยไม่คาดฝันจนทำตัวไม่ถูก งานการจึงอาจไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถ้ามีคนรู้สึกดีๆ กับเขาบ้าง เขาอาจยืนหยัดสู้กับชีวิตหรืองานต่อไป

Frank = เปิดเผย ตรงไปตรงมา

การทำงานที่ดีต้องยึดหลักประจำใจคือ ไม่หน้าไว้หลังหลอกหรือทำตัวมีลับลมคมใน การทำงานโปร่งใส ตรงไปตรงมา จึงเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งที่มำให้เชื่อถือวางใจของใครต่อใคร

Fondly = ทำงานด้วยใจรักและอยู่กับเพื่อร่วมงานด้วยความรัก

ความรู้สึกแบบนี้ถ้ามีต่องานจะทำให้ทำงานแบบอยากทำ ไม่ใช่ต้องทำ เป็นการทำงานด้วยความรัก เช่น รักงานขาย ทำให้ชอบการออกไปพบปะคนเพื่อบริการลูกค้าเก่า และแสวงหาลูกค้าด้วยเทคนิคใหม่ๆแล้วพยายามมุ่งมั่นให้ได้ยอดตามเป้าหมาย หรือหากงานรักงานวิจัยก็อยากวิจัยสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นต้น การทำงานด้วยความรักต่อเพื่อร่วมงาน จึงทำงานอย่างมีสุขและมีประสิทธิภาพ

Forgiving = ให้อภัย

การให้อภัยมีแต่จิตใจไม่ขุ่นมัว เนื่องจากหน่วยงานแต่ละแห่งอาจมีคนถูกใจหรือไม่ถูกใจ มีคนชอบหรือไม่ชอบบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเอาแต่น้อยใจ เสียใจ หรือคุมแค้น คนที่ขาดทุนที่สุดคือเรานั่นเอง ซึ่งจะบั่นทอนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การให้อภัยจุงเป็นยาสมานใจเราเป็นสุขขึ้น

Flexible = ยืดหยุ่นผ่อนปรน
แม้งานจะต้องมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ เงินทอง เป็นต้น แต่บางครั้งการเข้มงวดเกินไป อาจทำให้เพื่อร่วมงานไม่พอใจ ด้วยเหตุนี้การคิดได้ คิดถูก คิดด้วยปัญญา จึงช่วยทำให้ผ่อนปรนกันได้ หากไม่ทำให้องค์กรเสียหาย เช่น อาจส่งใบเบิกเงินเข้าไปเกินเวลากำหนดบ้าง ก็ไม่ควรยึดกฎเกณฑ์แบบเคร่งครับเกินไปจนทำให้ขาดมิตรได้

Foster = ส่งเสริม
การมีใจต่อกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จะช่วยให้เพื่อนร่วมงาน นาย ลูกน้อง ดีขึ้น ก็น่าจะทำไป นี่คือการลงทุนสร้างมิตร และได้เพื่อนร่วมงานที่มองเราแง่ดี การส่งเสริมนี้อาจทำด้วยคำพูด วาลา ท่าทาง และการช่วยทำงาน โดยเฉพาะนายควรส่งเสริมลูกน้อง และลูกน้องควรส่งเสริมนาย ด้วยการพูดถึงนายในแง่ดีทั้งต่อหน้าและรับหลัง

Fact = ข้อเท็จจริง

งานจะดีมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูล เป็นการรับรู้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบเพื่อให้งานมีความผิดพลาดน้อยที่สุด ข้อเท็จจริงนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ข่าวสารใหม่ๆ เพื่อกลั่นกรองสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่องค์กร
ดังนั้น หัวหน้างานจึงควรคิดอยู่เสมอว่าต้องได้ข้อเท็จจริงของข้อมูลที่วิเคราะห์สถานการณ์ โดยเฉพาะความสามารถของลูกน้องแต่ละคนในด้านต่างๆ ต้องระมัดระวัง ในการมอบหมายงานตามข้อเท็จจริง เพื่อผลประโยชน์สูงสุดขององค์กร

Forward = ไม่ย่ำเท้าอยู่กับที่
ทำงานต้องกระตือรือร้นที่ที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ทำงานแบบอยู่ไปวันๆ เพราะเรื่องของวันนี้อาจใช้ไม่ได้ในวันพรุ่งนี้ วันนี้จึงต้องดีกว่าวันวาน การทำงานให้ก้าวหน้าจึงเป็นเรื่องที่ต้องใฝ่รู้ รู้รอบ รอบคอบ รับผิดชอบ มีแผนระยะสั้นและแผนระยะยาวการทำงานให้ดีกว่าเดิม

Firm = มั่นคง
ต้องมั่นคงด้วยความรู้ ความคิด ความมุ่งมั่น องค์กรใดมีความมั่นคง มีศักยภาพ จะทำให้ผู้บริหารจนถึงพนักงานเกิดความไว้วางใจ (trust) ที่จะทุ่มใจทุ่มกายทำงานต่อไป ส่วนองค์กรที่ไม่มั่นคงขาดเสถียรภาพ พนักงานจะหมดกำลังใจ

Foresee = เห็นการณ์ไกล
เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าควรทำธุรกิจหรือทำการปรับปรุงงานในด้านใดโดยไม่ละเลยสิ่งใหม่ๆ ที่อาจทำให้ธุรกิจหรืองานเสื่อมถอยหรือล้าหลัง เช่น ประเทศไทย จะเน้นแต่สินค้าเดิมอย่างเดียวไม่ได้ เพื่อขยายตลาดทั้งในและภายนอกประเทศ หรือข้าราชการบางแห่งต้องลดจำนวนลงเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณและใช้คนอย่างมีคุณค่าหรือสินค้าต้องพัฒนาให้ทันกับ Nano Technology ที่ในอนาคตทุกอย่างจะเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูง

Fit = ความเหมาะสม

ความเหมาะสมเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการทำงาน เป็นความเหมาะสมในด้านการแต่งกาย วาจา ท่าทางและการทำงานยิ่งไปกว่านั้นในการทำงานจะต้องปฏิบัติต่อทุกระดับอย่างเหมาะสมตามตำแหน่งของแต่ละคนโดยไม่ยกตนข่มท่าน หรือทำตัวเหนือกว่าใคร หรือก้าวก่ายการงานของผู้อื่น ขณะเดียวกันไม่ควรทำตัวต่ำต้อยจนกลายเป็นคนหมดความหมาย

Forceful = มีพลัง
พลังงานของแต่ละคนย่อมจะต่างกัน บางคนมีพลังในการทำงานสูงไม่พอ ยังสามารถโน้มน้าวจิตใจให้คนทำงานด้วยความเต็มอกเต็มใจ

Facilitating = ทำให้สะดวกราบรื่นขึ้น
องค์กรที่มีบรรยากาศการทำงานที่เป็นไปอย่างสะดวกสะบายย่อมจะทำให้พนักงานอยากทำงานได้อย่างราบรื่นหรือมีประสิทธิภาพ แต่ในหลายแห่งมีปัญหาที่ทำให้งานยุ่งยากขึ้น งานจะง่ายหรือยากขึ้นกับหัวหน้าที่จะสร้างบรรยากาศการทำงานให้สะดวกมากน้อยแค่ไหน

Functional = ทำได้จริง มีประโยชน์

กิจการทุกอย่างต้องเกิดประโยชน์จริง เป็นไปได้จริง สามารถทำให้เกิดผลงานและได้ผล รวมทั้งต้องจัดให้ทุกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นจิตสำนึกที่ทุกคนต้องมี การกำหนดสิทธิหน้าที่ของแต่ละคนเป็นส่วนสำคัญในการทำงานอย่างเหมาะสมตามหน้าที่ของตน ก้ไม่เป็นการที่องค์กรจะเจริญขึ้น

Feasible = เป็นไปได้
เป็นเรื่องที่ทั้งนายและลูกน้องช่วยกันทำให้งานหรือโครงการเป็นจริง ทุกคนจึงต้องช่วยกันทำ ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำเป็นน้ำใจที่ทำเพื่อองค์กรให้ได้ผลดีที่สุด

Fast = รวดเร็ว

เป็นความรวดเร็ว เพื่องานจะได้ไม่ล่าช้า เกินกว่าเหตุ ผู้บริหารจึงต้องดูว่าขั้นตอนทำงานใดมีอุปสรรคและทำให้งานเสียหายหรือไม่ได้ดีเท่าที่ควร ก็ต้องขจัดให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นการปรับรูป แบบการทำงาน หรือการปรับปรุงพนักงาน รวมทั้งไม่ลืมว่าการทำงานอย่างรวดเร็ว ต้องมีคุณภาพ โดยไม่ทำงาน แบบหละหลวม จนผลของงานออกมาไม่ดี การทำงานอย่างรวดเร็ว ต้องเข้าใจเป้าหมาย วิธีการและระยะเวลา ที่จำเป็นต้องทำงานให้สำเร็จ

Fight = มีกำลังใจ ไม่ย่อท้อ
กำลังใจที่สำคัญที่สุด คือสู้กับใจของตัวเอง ที่จะทำงานไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะมีอุปสรรค ขวางหน้าแต่ไหน มีนักธุรกิจไม่น้อย ที่แม้ธุรกิจจะล้มเหลว ก็ลุกขึ้นมาสู้ จนประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะคนเป็นหัวหน้า ต้องไม่ย่อท้อ ลูกน้องจะได้มีกำลังใจ ที่จะฝ่าฟันทุกอย่างที่ขวางหน้า เพื่องานจะได้สำเร็จตามตั้งใจ

Fair = ยุติธรรม
ถ้าทำงานแล้วได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าในด้านเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง หรือ ด้านใดก็ตาม ทุกคนจะทุ่มใจทำงาน ให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะหัวหน้า ที่มีคุณธรรม ไม่เล่นพวกหรือแบ่งพวก ก็จะช่วยให้บรรยากาศการทำงาน มีไมตรีจิต เพราะแสดงว่าหัวหน้าหรือองค์กรนั้น ยึดความ เป็นธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่พวกเป็นหลัก

Focus = จุดเน้น
จะทำงานให้มีประสิทธิภาพ จะต้องรู้ว่ามีจุดเน้น และจุดร่วมในเรื่องใด ส่วนมากเป็นเน้นการทำงาน ตามเป้าหมายขององค์กร เช่น ร้านอาหาร ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น เน้นการบริการลูกค้าให้ประทับใจ และลูกค้าต้องเป็นใหญ่ หากพนักงานทุกคนเข้าใจตรงกัน งานย่อมจะไปได้ดีตามที่ต้องการ

Follow = ติดตาม
การทำงาน จะต้องมีการติดตามงานเป็นระยะ เพื่อดูความก้าวหน้าของงาน แต่ไม่ควรติดตามงานถี่เกินไป เพราะจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเครียดได้ ขณะเดียวกัน ไม่ควรปล่อยปละละเลย โดยไม่ติดตามงาน งานอาจเสียหายได้

Feedback = การป้อนกลับ
การป้อนกลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้รู้ว่า การสื่อสารออกไป ผู้ปฏิบัติงาน หรือผู้รับ ข่าวสารเข้าใจสิ่งที่ส่งออกไปหรือไม่ เพียงไรอย่างน้อย ผู้ส่งข่าวสาร จะได้รู้ว่าสิ่งที่ตน อยากให้ปฏิบัตินั้น ทำได้มากน้อยเพียงไร และต้องคอยแก้ไขอะไรบ้าง เพื่องานจะได้มีประสิทธิภาพ

Faith
=ศรัทธา
ศรัทธาต่อความคิดหรือศรัทธา ต่อการกระทำโดยเฉพาะ หากศรัทธาหัวหน้าหรือองค์กร จะทำให้ลูกน้องทำงาน อย่างเต็มอกเต็มใจ อย่างไรก็ตาม ความเลื่อมใสศรัทธา จะทำงานกันง่ายขึ้น และการสร้างศรัทธา ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความดี ความสามารถ คุณธรรมเป็นหลัก

Flair = มีศิลปะ มีรสนิยม
ศิลปะการทำงาน เป็นความสามารถเฉพาะตัว เป็นรสนิยมที่ลอกเลียนแบบกันได้ยาก เช่น บางคนรู้จักพูด รู้จักทำ ก็จะมีคนทำงานด้วย อย่างเต็มอกเต็มใจ ขณะที่บางคน มีแบบหรือรสนิยมการทำงาน ที่ไม่เข้มงวดแต่ผลงานต้องดีเช่นกัน เป็นเรื่องการใช้สติปัญญาในการมองเรื่องต่างๆ ที่เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ที่อาจเสียหายหรือไม่เสียหาย และหาแบบการทำงาน ให้ถูกต้องเหมาะสม ศิลปะการทำงานจึงขึ้นอย ู่กับความรอบรู้ ใฝ่รู้ ประสบการณ์ และข้อมูลเพียงพอ และมีการตัดสินใจ ที่ถูกต้องเหมาะสมตามสภาวการณ ์เพื่องานจะได้ก้าวหน้า

Flawless = ไม่ผิดพลาด
งานจะประสบความสำเร็จ ได้ต้องมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด หรือไม่มีเลยโดยเฉพาะ นายหวังจะให้ลูกน้อง ทำงานอย่างราบรื่น ไม่มีข้อบกพร่องให้รำคาญใจ อย่างไรก็ตาม คนทำงานทุกคนไม่ว่าระดับใด ต้องทำงานอย่างไม่มีข้อผิดพลาด เพื่อองค์กรจะได้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ

Face = เผชิญปัญหา อุปสรรค
องค์กรใดก็ตาม มีคนทำงานแบบมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรค องค์กรนั้นย่อมประสบความสำเร็จสูง เพราะทุกคนกล้า เผชิญหน้ากับปัญหา หรืออุปสรรค หรือสิ่งต่างๆไม่ว่า จะลำบากเพียงไร การกล้าทำเพื่อให้งาน ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ตามเป้าหมาย


ขอขอบคุณที่มาข้อมูล
"คิดอย่างผู้นำและผู้ตาม" โดย สุพัตรา สุภาพ

นักวิจัยในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

สวัสดีค่ะ ชาวคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ห่างหายไปจาก KM blog ของเราไปนานนะคะ เนื่องด้วยภารกิจที่มีมากมาย
ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา คณะของเราก็มีกิจกรรมบริการวิชาการอยู่ 1 กิจกรรมนะคะ
คือการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องนักวิจัยในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน 2551
และรุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-8 พฤษภาคม 2551
โดยการรับผิดชอบจัดการโครงการร่วมของ อ.ดร.วรรณภา ลีระศิริและ อ.ดร.พจนา พิชิตปัจจา
ซึ่งจุดเด่นของหลักสูตรนี้ก็คือการพาผู้เข้ารับการอบรมลงพื้นที่
เพื่อทดลองเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิจัย
พื้นที่ที่เราได้พาผู้เข้าอบรมไปทดลองเก็บข้อมูลทั้ง 2 รุ่น ก็คือ พื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลสันทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ใกล้ๆนี้เองนะคะ
โดยความอนุเคราะห์และเอื้อเฟื้อจากพี่ๆน้องๆศิษย์เก่าของเรา
ซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นหลายท่านด้วยกัน ตัวสำนักงานเทศบาลเอง ก็ใหญ่โต สวยงาม เป็นตึก 3 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนเชียงใหม่-แม่โจ้ เมื่อพวกเราเข้าไปถึง ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดียิ่ง พร้อมกับการรับรองที่ห้องประชุมใหญ่ของเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ที่ใครเห็นแล้วก็ต้องทึ่ง และชื่นชมในความสวยงามไปตามๆกัน


การอบรมของหลักสูตรนี้แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำวิจัย
ช่วงที่ 2 การเก็บข้อมูลวิจัย
ช่วงที่ 3 การสรุปผลและจัดทำรายงานการวิจัย

หลังจากที่ผู้เข้ารับการอบรมได้รับการปูพื้นฐานเกี่ยวกับการทำวิจัย รวมถึงการกำหนดหัวข้องานวิจัยที่แต่ละกลุ่มต้องการศึกษาแล้ว ในช่วงที่ 2 เราก็จะพาผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมด ลงพื้นที่เพื่อทำการทดลองเก็บข้อมูลสำหรับงานวิจัยจริง
โดยในช่วงแรกของการลงพื้นที่จะเป็นการบรรยายลักษณะพื้นที่ของ
เทศบาลตำบลสันทรายหลวงก่อน โดยคุณอุมาทิพย์ ศรีจันทร์ นักพัฒนาชุมชน
ของเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ทั้งนี้กลุ่มชุมชนที่มีการพัฒนากลุ่มอาชีพของตนได้อย่างโดดเด่นของที่นี่มีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. กลุ่มต้องเงิน
2. กลุ่มข้าวแต๋น
3. กลุ่มนวดแผนไทยและสปา


ในรุ่นที่ 1 เราได้แบ่งกลุ่มผู้เข้าอบรมเป็น 2 กลุ่ม เพื่อลงพื้นที่เก็บข้อมูล สังเกตการณ์และสัมภาษณ์ข้อมูล
สำหรับการทำวิจัยตามหัวข้อที่แต่ละกลุ่ม
ได้กำหนดไว้ กลุ่มที่ 1 เก็บข้อมูลจากกลุ่มต้องเงิน
กลุ่มที่2 เก็บข้อมูลจากกลุ่มข้าวแต๋น

และเมื่อเราเก็บข้อมูลกันเรียบร้อยแล้ว ในวันสุดท้ายของการอบรม
แต่ละกลุ่มก็จะทำการสรุปผลและทำรายงานการวิจัย
แล้วก็นำเสนอรายงานการวิจัยในห้องอบรม เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ตลอดจนความรู้ที่ได้รับการจากอบรมเชิงปฏิบัติการ




สำหรับรุ่นที่ 2 เราแบ่งกลุ่มผู้เข้าอบรมเป็น 4 กลุ่ม และลงพื้นที่เก็บข้อมูล
ที่กลุ่มนวดแผนไทยและสปา กลุ่มนี้ดำเนินการโดยกลุ่มแม่บ้านสุขเกษม
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เป็นกลุ่มที่เปิดอบรมฝึกอาชีพระยะสั้นและระยะกลาง
ให้แก่แม่บ้านในกลุ่ม เช่น การนวดแผนไทย การนวดหน้า การทำต้นไม้มงคล การทำผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เป็นต้น ดังนั้น เมื่อเรามาที่นี่ที่เดียว ก็สามารถเก็บข้อมูลได้หลากหลายเรื่อง หลายประเด็น
ทำให้นอกจากพวกเราจะได้ทดลองเป็นหุ่นฝึกนวดให้กับกลุ่มแม่บ้านแล้ว
ยังมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วย





ก็นับว่า การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรนี้
ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง
จากที่ได้ฟังผู้เข้าอบรมนำเสนอรายงานการวิจัยแล้ว
แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาที่ไม่นาน แต่การได้ลงมือฝึกปฏิบัติจริง
ก็ย่อมทำให้ผู้เข้ารับการอบรม
มองเห็นภาพรวมของการทำวิจัย
และเกิดการเรียนรู้ได้อย่างชัดเจนขึ้น

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฝึกอบรม ก็หวังทุกครั้งนะคะว่า
ผู้เข้ารับการอบรมจะนำความรู้และประโยชน์ที่ได้รับ
จากการอบรมไปปฏิบัติจริงณ หน่วยงานของแต่ละท่าน เพื่อให้เกิดประโยชน์
อย่างแท้จริงต่อชุมชนและท้องถิ่นต่อไป


สำหรับ KM blog ของหัวข้ออื่นก็มีการ update เป็นระยะนะคะ ไม่ว่าจะเป็น บล็อคความรู้ทางการเมืองการปกครองฯ หรือบล็อคความรู้ทางการบริหาร
ของทีม KM ก็สัญญาค่ะว่า จะพยายามนำเสนอข้อมูลใหม่ๆที่น่าจะเป็นความรู้และเป็นประโยชน์แก่ชาวคณะ อย่างสม่ำเสมอ สวัสดีค่ะ